วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฝรั่งฝึกสมาธิสามารถระลึกชาติ-เห็นนรกสวรรค์ได้

โดย ลุงแอล (ซี เอ สโคฟิลล์) ๒๒๒ ถนนทิเวอร์ตัน เมืองเฟยัตต์วิลล์ รัฐนอร์ท แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา

ฤดูใบไม้ร่วงปี ๒๕๒๙ คุณบุญเทือง จอห์นสัน เพื่อนของเราจากเมือฮิวสตันรัฐเท็กซัส ได้บอกกับ "คิด" (กมลพร) ภรรยาผมว่า พระราชพรหมยานจะมาอเมริกา ในเดือนเมษายนปีหน้า และจำมาพักที่ชิคาโกด้วย ด้วยความช่วยเหลือของบุญเทือง คิด ได้ติดต่อกับ ดร. สภรณ์ พงษ์หล่อพิสฏฐ์ ซึ่งเธอก็ได้ชวนเราไปหาหลวงพ่อที่บ้านของเธอในเมืองเกลนวิว รัฐอิลลินนอยส์

ด้วยความสัตย์จริง ถึงแม้ว่า คิด จะเคยเล่าเรื่องต่างๆ ของพระราชพรหมยานให้ผมฟังแล้วก็ตาม แต่ผมยังไม่สนใจที่จะไปหาหลวงพ่อนัก เพราะมันเป็นระยะทางไกลมาก จากเมืองเฟยัตต์ฟิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ไปเมื่องชิคาโก มันไปเกินไปสำหรับการขับรถ และแพงมากสำหรับการนั่งเครื่องบิน ยิ่งไปกว่านั้นเราไปวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองโบลิเวียเป็นประจำอยู่แล้ว และที่นั่นเรามี พระธงชัย ธมฺมเตโช ผู้ซึ่งผมศรัทธาอยู่ แต่ด้วยแรงกระตุ้นจากท่านธงชัย และแรงผลักดันจากภรรยาผม ผมจึงตัดสินใจไปชิคาโกหับเธอ เพื่อไปหาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

และนั่น เป็นการัดสินใจครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม

เราพบหลวงพ่อที่บ้าน ดร. อนุสรณ์ ที่นั่นมีคนอยู่ราวๆ ร้อยคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ขณะที่ผมนั่งฟังหลวงพ่อพูด ทั้งๆ ที่ผมไม่เข้าใจภาษาไทยเลยแม้แต่คำเดียว แต่ว่าผมสามารถ "รู้สึก" ได้ว่าหลวงพ่อพูดอะไร ผมยังเห็นแสงรัศมีคลุมกายท่าน แสงนั้นเปล่งประกายเรืองรองมาจากภายในกายท่าน ซึ่งบ่งถึงความสงบสุขสมบูรณ์นิรันดร ผมได้เห็นแสงรัศมีนั้นทุกๆ ครั้งที่ผมมองท่าน แสงนั้นเจิดจ้าสว่างไสว ครั้งนั้นยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแสงนั้น แต่ทุกวันนี้แตกต่างออกไปแล้ว เดี๋ยวนี้แสงรัศมีนั้นอยู่ล้อมรอบตัวผมด้วย และผมรู้ว่าแสงจะยังคงครอบคลุมตัวผมอยู่ต่อไป และผมก็รู้ด้วยเช่นกันว่า ผมเคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อน ผมเข้าใจที่ท่านอธิบายเรื่องศีลห้า เรื่องความเมตตากรุณาต่อผู้ด้อยโอกาส (พรหมวิหารสี่) เข้าใจคำอธิบายที่ลึกซึ้งแต่ง่ายๆ ของท่านในเรื่องคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดถึง "วิชาวิเศษ" (มโนมยิทธิ) ที่ท่านสอนลูกศิษย์

ครูสอนมโนมยิทธิคนแรกของผมคือ ดร. ปริญญา นุตาลัย ท่านเป็นคนมีลักษณะพอเศษและอดทนมาก แม้จะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึน ผมก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านอย่างเคร่งครัด ทันใดนั้นผมก็พบว่า ร่างกายของผมเคลื่อนที่ออกไป

หลวงพ่อท่านยืนอยู่ข้างหน้าผม คล้ายกับจะคอยปกป้องผม ขณะที่เราเที่ยวผ่านเหล่าวิญญาณที่ถูกทรมาน ทุกข์ยากแสนสาหัสในนรกทั้ง ๘ ขุม ผมตกใจกลัวมาก แต่หลวงพ่อปลอบให้ผมหายกลัว ผู้คุมทั้งหลายก็น่ากลัวมาก แต่เขาเหล่านั้นไม่เข้ามาทำร้ายเรา

ทันใดนั้น เราเอยู่ตรงบริเวณที่มองดูเหมือนขอบของความว่างเปล่า มีสิ่งที่มองดูคล้ายกับเป็นดวงดาวนับพันนับหมื่อนดวง ลอยอยู่ในความว่างอันมืดมิดที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่มันไม่ใช่ดวงดาวและไม่ใช่ท้องฟ้า

และผมก็ยังพบว่า หลวงพ่อท่านยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อคอยปกป้องผม ท่านเตือนผมว่า "อย่าไปที่นั่นตามลำพัง มิฉะนั้นผมจะไม่ได้กลับ" ที่นั่นดูน่ากลัวมากเหมือนกับนรกที่เราเพิ่งผ่านมา

หลังจากนั้น ผมก็มาอยู่ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ มีพระพุทธรูปเป็นร้อยๆ องค์ หลวงพ่อก็อยู่ที่นั่นด้วย ผมสามารถกราบ พระพุทธรูปนั้นทุกๆ องค์นั้นได้ในเวลาเดียวกัน เหมือนมีกับตัวผมต่อหน้าพระพุทธรูปแต่ละองค์ และขณะที่ผมกราบ ผมรู้สึกว่าพระพุทธรูปเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมา ไม่ใช่พระพุทธรูปอีกต่อไป

และผมก้มลงกราบที่เท้าของพระองค์ท่าน ผมรู้สึกว่าท่านวางมือบนศรีษะผม และก่อนที่จะเงยหน้ามองท่านผมมีความรู้สึกว่าท่านยิ้ม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็เห็นท่านกำลังยิ้มจริงๆ ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยน ต่อจากนั้นหลวงพ่อพาผมไปหาท่านปู่ท่านย่า ผมร้องไห้อีกครั้ง ท่านย่าให้เครื่องแต่งกายเป็นของขวัญแก่ผม ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ส่องแสงระยิบระยับเหมือนประกายเพชร ประกายทับทิม ประกายพลอยม่วง ประกายพลอยหลากสี และประกายรู้นานาสี สว่างสดใส แต่ขณะเดียวกัน ก็อบอุ่นนุ่มสบาย ไม่มีส่วนใดที่แข็งกระด้าง หรือแหลมคม หรือเย็นเยียบเลย

น้ามี คูเนียม ก็อยู่ที่นั่นด้วย ท่านก็มีประกายแสงสว่างไสวและสวยงามมาก และทุกๆ คนก็ส่องแสงเป็นประกายจากภายในเช่นกัน ผมเห็นได้ชัดเจน

ท่านปู่อุ้มผมไว้บนตัก เหมือนกับผมเป็นเด็กเล็กๆ และบอกเรื่องวิมานให้ผมฟัง และในฉับพลันนั้นเอง หลวงพ่อและผมก็มายืนอยู่ข้างนอกวิมานของผม น่าอัศจรรย์มาก ผมไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงสิ่งที่สวยงามอย่างนี้มาก่อนเลย จากเฉลียงของวิมาน ผมสามารถมองเห็นทะเลสาบอันกว้างขวางและสวยงาม และท้องฟ้าใสสีฟ้าอมเขียวได้ชัดเจน มีฝูงนกมามายบนท้องฟ้า มีเหล่าหงส์ นักกระสา เป็ด ห่าน ลอยเล่นอยู่ในทะเลสาบ สาวยลมอ่อนละมุนพัดเอื่อยๆ ในสายลมมีกลิ่นหอมโชยมาน่าชื่นใจ

ทันใดนั้น ท่านย่าก็มาอยู่ที่นั่น เราพากันเข้าไปในวิมาน ท่านย่าให้ผลไม้ในถ้วยชามทอง และเสื้อผผ้าที่สวยงาแก่ผม แล้วท่านก็จากไป

พ่อของผมที่ล่วงลับไปแล้วเกือบ ๔๕ ปี ก็อยู่ที่นั่น ลูกสาวผมที่ตายด้วยอุบัเหตุเรือล่มเมื่อ ๓๐ ปีก่อน ก็อยู่ที่นั่น ผมได้พบคุณปู่ คุณย่า คุณลุง คุณป้า คุณน้าของผม ทุกคนดูมีความสุขสบายดี

และแล้วหลวงพ่อก็บอกว่า "ถึงเวลาต้องกลับแล้ว คนอื่นๆ กำลังรอเราอยู่"

ผมรู้สึกตัวขึ้นและพบว่า ผมกำลังอยู่ในบ้าน ดร.สภาภรณ์ กับ ดร.ปริญญา และคนอื่นๆ

ผมขอขอบคุณหลวงพ่อ และคุณครูที่สอนมโนมยิทธิให้แก่ผม มี ดร.ปริญญา ลุงปรุง ท่านวิรัช ที่ทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นไปได้ ที่ผมจะย้อนกลับไปสู่อดีต ไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาในความเป็นอยู่ของผม ผมใช้คำว่า "ความเป็นอยู่" แทนคำว่า "ชีวิต" เพราะผมเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน

ผมรู้ว่าชาติหนึ่ง ผมเกิดในปี พ.ศ. ๑๕๖๙ ผมเกิดเป็นนักสร้างเสื้อเกราะชื่อ อริทกะ ได้ต่อสู้ในสงครามเมืองเฮสติ้งส์ในปี พ.ศ. ๑๖๐๙ ผมอยู่ข้างประเทศอังกฤษ แต่ผมก็ต้องกลายเป็นผู้ผลิตเกราะให้แก่พวก นอร์มันผู้พิชิต เพราะอังกฤษพ่ายแพแก่พวกนอร์มันผู้รุกราน ที่นำโดยกษัตริย์วิลเลียมที่หนึ่ง ความสามารถในการทำเครื่องเหล็กในชาตินั้น ได้ถ่ายทอดมาจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ผมจะมีความชำนาญเป็นพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับงานเหล็ก

ผมรู้ว่า เมื่อก่อน ในสถานที่หนึ่ง ในสมัยหนึ่ง ผมเคยเกิดเป็นพี่ชายของหลวงพ่อ เราทั้งคู่เป็นทหารที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เราทั้งคู่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ท้อง แม้ว่าเราจะเป็นพี่น้องกัน เราก็เคยทะเลาะกันบ้าง อย่างพี่น้องเท่านั้นจะพึงทะเลาะกัน และยังคงรักกันอยู่

สองสามปีก่อนที่ผมจะได้พบหลวงพ่อ ผมมีปัญหาอย่างมากกับกรมสรรพากรอเมริกัน (พวกเก็บภาษี) เขาหาว่าผมไม่ได้จ่ายเงินภาษีส่วนบุคคลกว่า ๓ ปี คำนวณคร่าวๆ แล้ว ผมต้องจ่ายเขาเป็นเงินมากกว่า ๑๖,๐๐๐ เหรียญ (ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท) พวกนั้นที่ไห้ผมลำบากมาก ผมต้องจำนองบ้านซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพื่อเอาเงินหลายพันเหรียญมาจ่ายแก่กรมสรรพากร

ต่อมา ผมเริ่มสวดมนต์ และนั่งสมาธิเป็นประจำ และขอคำแนะนำชี้แนะเสมอ และโดยเป็นปกติสม่ำเสมอ หลวงพ่อจะอยู่ที่นั่นเหมือนกันทุกๆ ครั้ง พร้อมด้วยหลวงปู่ปาน หลวงพ่อโต เมื่อผมเล่าปัญหาของผมให้หลวงพ่อฟัง ท่านยิ้มและผงกศรีษะ บอกว่าท่านรู้หมดแล้วในขณะนั้นเอง ด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ ผมรู้ขึ้นมาทันทีทันใดว่า ผมต้องทำอย่างไร และด้วยการทำเช่นนั้น คิด กับ ผม ได้รับเงินที่จ่ายไปแล้วคืนมาทั้งหมด แถมได้รับดอกเบี้ยจากเงินนั้นอีกด้วย

เมื่อผมทำสมาธิ โดยปราศจากข้อยกเว้น โดยปราศจากความสงสัย ปราศจากความลังเล สิ่งแรกสุดที่ผมเห็นคือ หลวงพ่อ บางครั้งท่านยิ้ม บางครั้งท่านดูเคร่งเครียด บางครั้งท่านนั่ง บางครั้งท่านยืนพยุงกายด้วยไม้เท้า บางครั้งท่านป่ายานัตถุ์ แต่ท่านจะมาหาผมเสมอเพื่อพาผมไป เพื่อแนะนำผม อยู่กับผม ช่วยเหลือผม บางครั้งเมื่อผมเหนื่อยมาทั้งวัน และไม่สามารถตั้งตั้งใจทำสมาธิอีกต่อไป ท่านจะอยู่ที่นั่น

ท่านจะยิ้มแล้วพูดว่า "เอาไว้ทีหลัง ค่อยพยายามใหม่ทีหลังก้ได้นะ"

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔ ผมเข้ารับการผ่าตัดในช่องท้อง ซึ่งเป็นการผ่าตัดครั้งใหญ่ครั้งที่ ๒ ของร่างกายที่แสนเก่านี้ของผม แต่ครั้งนี้จะแตกต่างออกไป

ผมจำได้ว่า ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดอ่อนเพลียจากฤทธิ์ยา แต่ยังรู้สึกตัวบ้างว่า อะไรเกิดขึ้นรอบตัวผม ผมจำได้ว่าพุดกับหมอและผู้วางยาสลบ ผมจำได้ว่า ขณะที่ผมกำลังไม่รู้สึกตัวนั้น ผมรู้สึกอุ่นสบาย รอบๆ เตียงผ่าตัดมีแสงจ้า คล้ายแสงอาทิตย์ เหนือแสงจ้านั้น คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รองลงมาคือ หลวงพ่อ หลวงพ่อโต และหลวงปู่ปาน ผมจำได้เพียงเล้กน้อย ถึงช่วง ๕ วันต่อมาในห้องพักฟื้น อย่างไรก็ตามผมรู้ว่าท่านเหล่านั้นมาเยี่ยมผม ทุกเช้าและเย็น ผมแน่ใจว่าท่านเหล่านั้นอยู่กับผมในห้องพักฟื้น แม้ว่าผมจะง่วงเกินกว่าจะรับรู้การมาของพวกท่าน ผมสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน ๘ วัน ทั้งๆ ที่ครั้งก่อนที่ผมผ่าตัดช่องท้อง แม้จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าครั้งนี้ ผมยังต้องอยู่ในโรงพยบาลเกือบสามอาทิตย์ แต่ตอนผ่าตัดครั้งก่อนนั้นผมยังไม่ได้พบกับหลวงพ่อ

ถึงแม้ว่า ผมจะพบหลวงพ่อจริงๆ เพียง ๓ ครั้ง ๒ ครั้งในชิคาโก และอีกครั้งที่ในปีนี้ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. แต่ผมรู้ว่าผมสามารถ "พบ" ท่าน หรือ "ไปหา" ท่าน ได้ทุกเวลา อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วว่า ท่านอยู่ที่นั่นทุกครั้งที่ผมทำสมาธิ ทุกครั้งที่พบท่าน ผมมักจะเล่าปัญหาของผมให้ท่านฟัง ท่านจะแนะนำทุกๆ ครั้ง และท่านจะอยู่กับผมเสมอ เวลาผมไปหาท่านปู่ท่านย่า และพักที่วิมานของผม ผมจะ "รู้" ว่า เมื่อไหร่ท่านป่วย หรือไม่สบาย หรือเมื่อไหร่ท่านเหนื่อยล้าจาก การที่คนจำนวนมากเรียกร้องให้ท่านสงเคราะห์

แม้แต่ขณะที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมยังรู้สึกว่าท่านมาอยู่ข้างๆ ผม เพราะผมขอคำแนะนำ คำชี้แนะ คำปรึกษาจากท่าน

ท่านบอกว่า "พอแล้ว เธอเล่าพอแล้ว"

ปัจฉิมลิขิต เรื่องทั้งหมดข้างต้นนี้ ผมเขียนขึ้นมาก่อนที่หลวงพ่อจะจากโลกนี้ไปในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ คืนที่ท่านจากไปผมตื่นขึ้นมาราวๆ ตี ๔ ผมฝันถึงหลวงพ่อ ท่านดุสง่าและมีความสุข ผมลุกขึ้นไปดื่มน้ำในห้องครัว และพบว่า "คิด" นอนอยู่บนพื้นในห้องพระ เธอไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนเลย เธอไม่สามารถจะหลับหรือพักผ่อนได้เลยในคืนนั้น เธอรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง และรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องมาอยู่ใกล้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงพ่อ เรารู้ว่าหลวงพ่ออยู่กับเราในคืนนั้น คืนที่ท่านจากไป

ท่านยังอยู่กับเรา ผมรู้ว่าท่านอยู่กับผม แม้ในขณะที่ผมเขียน และเมื่อผมเห็นท่านตอนนี้ แสงรัศมีที่ผมเห็นยิ่งสว่างจ้ามากขึ้น เครื่องแต่งกายท่านเป็นเพชร ทอง และเงิน ท่านไม่ต้องใช้ไม้เท้าอีกต่อไป และถึงแม้ลักษณะท่านจะดูเหมือนก่อน แต่ความเมตตากรุณาอ่อนโยนดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ท่านอยู่กับสมเด็จ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อโต และท่านแม่ศรี

และท่านอยู่กับเรา...


ด้วยความเคารพรัก

ซี เอ สโคฟิลด์ (ลุงแอล)
๒๒๒ ถนนทิเวอร์ตัน
เมือง เฟเยตต์วิลด์
รัฐ นอร์ท แคโรไลนา
สหรัฐอเมริกา

(แปลโดย ดร.ปริญญา นุตาลัย คัดจากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๖๐ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๗)

จากเว็บ ศ.ธรรมทัสี